5/31/2554

เปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสอง

ธุรกิจขาย “เสื้อผ้ามือสอง”มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจเสื้อผ้ามือสอง “ราคา” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกระตุ้นกำลังซื้อให้เกิดขึ้น คนที่คิดอยากจะทำธุรกิจขายเสื้อผ้านำไปต่อยอดสร้างงาน สร้างรายได้ นั้นมีมากมาย

ร้านเสื้อผ้ามือสอง
ภาพจากwomen.mthai.com
ปัจจุบันนี้คนหันมาซื้อเสื้อผ้ามือสองกันมากขึ้น แต่เสื้อผ้าที่เรานำเข้ามานั้นก็ไม่ใช่มือสองเสียทั้งหมด ส่วนหนึ่งจะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์เนมคุณภาพดีที่ทางเมืองนอกโลสต็อก และยังไม่ได้ใส่ก็มีเรียกว่าคละๆ กันไป รวมทั้งเกรดเสื้อที่มีตั้งแต่เอ, บี และซี สำหรับคนที่คิดจะทำธุรกิจเสื้อผ้ามือสองตอนนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดี เศรษฐกิจอย่างนี้ขายง่าย โดยเฉพาะทำเลตลาดนัดที่มีผู้คนเดินพลุกพล่านจะขายดีมากๆ
เสื้อผ้าแฟชั่นที่คุณธณภณนำเข้ามาเป็นเสื้อผ้าทั่วๆ ไป ที่ทุกเพศทุกวัยสวมใส่ได้ อาทิ เสื้อแขนกุด, เสื้อแขนสั้น, เสื้อแขนยาว, กางเกง, กระโปรง, กางเกงยีนส์ชายหญิง, กระโปรงยีนส์, เสื้อกันหนาว, แซ็ค, สูท, เสื้อผ้าเด็ก ฯลฯ หากสนใจทำธุรกิจ สามารถติดต่อได้โดยตรงเพื่อจะได้เข้ามาดูแบบ พิจารณาคุณภาพ และเลือกสินค้าไปขายด้วยตัวเองที่โกดังเก็บเสื้อผ้าย่านรามอินทรา ที่มีเสื้อผ้าให้เลือกมากกว่า 1 แสนตัว ด้วยราคาสินค้าขั้นต่ำเฉลี่ยตัวละ 30 บาท
ธุรกิจนี้ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก ซับซ้อน ลงทุนซื้อเสื้อผ้าไปวันไหน ก็สามารถขายได้เงินวันนั้นเลย

กรณีไม่สะดวกจะเดินทางมาดูสินค้าด้วยตัวเอง ก็ยังมีอีกช่องทางหนึ่ง คือ เว็บไซต์ www.thaiusedclothes.com ที่เขาใช้โชว์ภาพสินค้าเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เห็นถึงแบบ สีสัน และขนาดที่มี หากตกลงเจรจาธุรกิจกันสำเร็จ เขาจะจัดส่งสินค้าให้ตามต้องการ
จุดหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ประกอบการ นอกจากลงทุนง่าย ต้นทุนต่ำ กำไรสูง คือ คำแนะนำในการทำธุรกิจที่คุณธณภณมีให้โดยไม่มีกั๊ก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำทำเลเพื่อขายให้ตรงกับรสนิยมของกลุ่มเป้าหมาย การกำหนดราคา การจัดร้าน ตลอดจนเทคนิคการขายสินค้าให้ประสบความสำเร็จ
ธุรกิจนี้ไม่มีขั้นตอนยุ่งมาก ซับซ้อน ลงทุนซื้อเสื้อผ้าไปวันไหนก็สามารถขายได้เงินวันนั้นเลย อย่างเสื้อผ้าแฟชั่นเกรดเอ ทำเลอย่างสีลมพลาซ่า ธนิยะ หรือซอยละลายทรัพย์ถือว่าเหมาะ ส่วนเสื้อผ้าเกรดบีลงไป ถ้าโชคดีมีรถส่วนตัว ก็ลงทุนเสื้อผ้า 3,000 บาท จำนวน 100 ตัว ขนไปขายตามที่ต่างๆ แล้วก็ซื้อราวแขวนเสื้อสักพันกว่าบาท หรือง่ายๆ เลย คือ ปูผ้าวางเสื้อขายตามตลาดนัด ซึ่งปัจจุบันแทบไม่มีตลาดนัดแห่งใดที่ไม่มีเสื้อผ้ามือสองขาย สำหรับอุปสรรคในการค้าขายตอนนี้ ผมว่าบางคนยังเข้าใจผิดคิดว่าเสื้อผ้ามือสองนั้นสกปรก ไม่มีของดี ไม่มีดีไซน์ ซึ่งความจริงแล้วจะเหมารวมว่าเสื้อผ้ามือสองเป็นอย่างนั้นเสียทั้งหมดก็ไม่ได้
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่เห็นว่าผู้ประกอบการขายเสื้อผ้ามือสองต้องมีบ้าง คือ ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในเรื่องทำเลสถานที่ที่จะขาย ความรู้ในตัวสินค้า เช่น ราคาคร่าวๆ ของเสื้อผ้าในแต่ละยี่ห้อ ซึ่งจะมีผลต่อการตั้งราคาขาย บางคนซื้อสินค้าเกรดเอไป แล้วเอาสินค้าไปขึ้นเว็บไซต์ ระบุแบรนด์ รุ่น ขนาด และราคาขายของเสื้ออย่างสมเหตุสมผล ก็ขายได้ราคาดี”
คุณธณภณแนะนำเทคนิคการทำกำไรจากการขายเสื้อผ้าจำนวน 100 ตัวอย่างง่ายๆ ว่า 50 ตัวแรก ขายราคาตัวละ 100 บาท เพียงเท่านี้ก็ได้ทุนคืนและกำไรเล็กๆ น้อยๆ แล้ว ส่วนอีก 50 ตัวที่เหลือจะขายราคาเท่าไหร่ก็ย่อมได้ จะมากหรือน้อยก็หมายถึงกำไรที่จะเพิ่มพูนในกระเป๋านั่นเอง
ยิ่งถ้าลงทุนสั่งซื้อเสื้อผ้าที่แพ็คไว้เป็นก้อนใหญ่ประมาณ 8,000 บาท ที่มีเสื้ออยู่จำนวน 600 ตัว ต้นทุนของเสื้อผ้าก็จะลดลงเหลือเพียง 10 กว่าบาทซึ่งเขาเชื่อว่าเงิน 8,000 บาทนั้น จะสามารถสร้างรายได้สูงถึง 20,000 บาทขึ้นไปทีเดียว โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัดถือว่าน่าสนใจอย่างมากในเวลานี้
การค้าขายให้ประสบความสำเร็จมันต้องอาศัยระยะเวลาและความสนิทสนม ฉะนั้นเคล็ดลับการขายที่ผมอยากฝากไว้คืออย่าเอากำไรมาก แล้วจะขายออกง่าย ที่สำคัญลูกค้าคนนั้นจะกลับมาซื้อของคุณอีกในครั้งต่อๆ ไปด้วย
นอกจากเสื้อผ้ามือสองคุณภาพ สินค้าอื่นๆ เช่น รองเท้า กระเป๋า เข็มขัด เข้ามาทำตลาดเพิ่มด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสอง สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 0-2973-1539 และ 08-6323-5334 หรือเข้าชมหน้าเว็บไซต์ได้ที่ :www.thaiusedclothes.com

5/23/2554

ข้าวเกรียบปากหม้อ

การทำข้าวเกรียบปากหม้อ ซึ่งเป็นของว่างของไทย ทีมีมาแต่โบราณ ทุกวันนี้เจ้าอร่อยๆ หากินยากแล้ว เป็นอาชีพที่น่าสนใจบางเจ้าทำแทบไม่ทัน บางครั้งอาจจะมีหน่วยงานต่างๆ สั่งทำทีละมาก ๆ ซึ่งบางครั้ง ทำไม่ทันกันเลยทีเดียว
แต่ต้องประมาณกำลังตัวเองไม่งั้นของจะไม่มีคุณภาพเสียชื่อ เสียลูกค้าได้ เช่นกัน อุปกรณ์ ที่ใช้ขายก้ไม่มาก ลงทุนไม่สูง โต๊ะ 1-2 ตัว ร่ม 1 คัน กลายเป็นร้านมีหลังคาแน่นหนา ละเลงแป้งลงบนผ้าที่ขึงบนปากหม้อเป็นผ้าโทเรและต้องขึงให้ตึง หม้อที่ใช้เป็นหม้อดินต้มน้ำให้เดือดไอน้ำเป็นตัวทำให้แป้งสุก เริ่มต้นง่ายๆรายได้งามๆ จากอาชีพที่คิดว่าจะลองทำเล่น ๆ เมื่อว่างจาก อาจจะกลายเป็นอาชีพหลักไปเลยทีเดียว เพราะข้าวเกรียบปากหม้อขายง่าย ข้าวเกรียบปากหม้อมีทั้งไส้แบบสาคูไส้หมู (ทั่วๆไป)กับแบบไส้ผัก (เหมือนขนมกุยช่าย)ทั้งสองแบบใช้ไส้เหมือนกัน แต่ไส้ผักมีน้ำจิ้มเหมือนที่ก็นกับขนมกุยช่ายเราลองมาดูซิว่า สูตรข้าวเกรียบปากหม้อวันนี้ มีอะไรกันบ้าง


ข้าวเกรียบปากหม้อ

ขอบคุณภาพจากayishere.com

ข้าวเกรียบปากหม้อไสัหวาน
มีส่วผสมดังนี้
หัวผักกาดเค็ม (หัวไชโป๊ว) สับ 3 กิโลกรัม
หอมแดง 1/2 กิโลกรัม
น้ำตาลปี๊บ 3 กิโลกรัม
ถั่วลิสง 3 กิโลกรัม
รากผักชี 2๐ ราก
น้ำมันพืช 1/2 ลิตร่

วิธีการทำ
1. หัวผักกาดเค็มให้ซื้อแบบที่สับมาแล้วเพราะจะได้ไม่เสียเวลามานั่งสับเอง สับเองจะใช้เวลามากใช้
ถั่วลิสงต้องซื้อมาคัดเอง เอาเปลือกออก ยอมเลยเวลาหน่อย จะได้ถั่วทีใหม่ หอม และอร่อยกว่า เพราะถั่วที่ซื้อตามร้านบดมา
แล้วเป็นถั่วเก่าอาจจะคั่วทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วก็ได้ ทีสำคัญถั่วเก่ามีสารก่อมะเร็ง ไม่อร่อยแถมยังอันตรายอีก
2.นำกระทะขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่น้ำมันเจียวหอมแดงที่หั่นกับรากผักชีตำละเอียด ผัดให้เหลือง ตามด้วยหัวผักกาดเค็ม น้ำตาลปี๊บ ใช้เวลาเคี่ยวนาน 3-4 ชั่วโมง รอจนน้ำตาลละลายและเคี่ยวจนแห้ง
ลองชิมรส เพราะหัวผักกาดเค็ม จะมีรสไม่มาตรฐาน หวาน เค็ม ไม่เท่ากันในแต่ละถุง ไส้ผัดทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำออกขาย
เพราะหัวผักกาดเค็มจะนุ่มกว่าที่จัดเสร็จใหม่ ๆ ถั่วลิสงที่คั่วไว้นำมาบุบไม่ต้องละเอียด ก่อนออกขายจึงผสม หากผสมทิ้งไว้จะทำให้ถั่วชื้นและเหนียว ไส้หวานต้องกิน
กับผักชี ผักกาดหอม พริกขี้หนู ระหว่างที่จัดเรียงใส่ถาดโรยด้วยกระเทียมเจียวที่ไม่มีน้ำมันจะหอมอร่อย ถ้ากลัว
ขนมจะติดกันเป็นพรืด เมื่อแคะขึ้พาให้แช่ในน้ำมันพืชสักครู่ แล้วนำมาวางพาชนะที่มีร่อง เพื่อให้สะเด็ดน้ำมันสะเด็ด

ข้าวเกรียบปากหม้อไส้ผัก
ส่วนผสม
หมูสับ 500 กรัม
ผักกุยช่าย 2 กิโลกรัม
กระเทียมสับละเอียด 500 กรัม
เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ

วธีทำ
1.นำหมูลงผัดในกระทะ หลังเจียวกระเทียมจนเหลือง จากนั้นใส่ผักที่หั่นท่อน ประมาณครึ่งเซนติเมตร
2.ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ที่ใส่เกลือแทนน้ำปลาเพราะน้ำปลาจะทำให้ผ้าแดงดูไม่น่ากิน และ
เกลือมีรสชาติดีกว่า ไส้ผักจะผัดวันตอวัน ผัดตอนเช้ามืดก่อนออกขาย หากผัดค้างคืนผักจะไม่หวาน และอาจเสีย

ส่วนน้ำจิ้มมีส่วนผสมดังนี้
ซีอิ๊วเค็ม ครึ่งขวด(ขนาด 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร)
น้ำตาลทราย 500 กรัม
น้ำส้มสายชู 2/3ขวด (ขนาด 240 มิลลิลิตร)

น้ำจิ้มที่ผสมต้องชิมรสก่อน พริกที่ใช้มีทั้งพริกชี้ฟ้าและพริกขี้หนูสวน หากต้องการเผ็ดมากให้เพี่มพริกให้
มากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องมีผักเป็นเครื่องเคียง คือถั่วงอก ไม่ต้องนำไปลวกเพียงแต่วางบนปากหม้อแล้วใช้ฝา
ครอบ ประมาณ ครึ่งนาที จะได้ถั่วงอกที่สุกและกรอบพอ

ส่วนตัวแป้ง แป้งทีละลายบนปากหม้อ มีส่วนผสมง่าย ๆ

ส่วนผสมตัวแป้งข้าวเกรียบปากหม้อ

1.แป้งข้าวเจ้าต่อแป้งมันสำปะหลังต่อน้ำ ในอัตรา 1:1 เมื่อละเลงบนปากหม้อต้องมีฝาครอบ หากไม่มีฝาครอบแป้งจะด้านใช้ไม่ได้ เวลาที่ใช้จะเป็นเวลาที่พอดีกันทั้งสองหม้อ
คือ แคะหม้อหนึ่งพร้อมละเลงแป้ง จะเป็นเวลาพอดีที่แป้้งของอีกหม้อหนึงใช้ได้ ฉะนั้น 2 หม้อ จะใช้ฝากครอบอันเดียว
หม้อที่ใช้เป็นหม้อดิน ต้มน้ำให้เดือด ไอน้ำเป็นตัวทำให้แป้งสุก ส่วนผ้าที่ขึงบนปากหม้อเป็นผ้าโทเร (ผ้าทีใช้ตัดเสื้อนักเรียน) และต้องขึงให้ตึง

ขนมจะน่ากินหรือไม่ ขั้นตอนการจัดวางมีส่วนอยู่มาก เหมือนกับข้าวกับปลาหากมีผักชีโรยหน้าจะดูดีกว่า
โล้น ๆ ข้าวเกรียบปากหม้อก็เช่นกัน ไส้หวานให้โรยด้วยกระเทียมเจียว แต่งหน้าด้วยผักชี ผักกาดหอม และพริก ส่วนไส้ผักให้ใช้ถั่วงอกบนถาดทับด้วยตัว
ปิดถาดด้วยพลาสติกใสป้องกันฝุ่นและดูน่ากิน

ราคาของขนมเท่ากันทั้งสองชนิดกล่องล่ะ 20-25 บาทขาดตัว ไส้หวานมี 10 ชิ้น ส่วนไส้ผัก 8 ชิ้นต่อกล่อง เพราะมีขนาดตัวใหญ่
กว่า ลูกค้าส่วนมากเป็นผู้ขับรถที่ผ่านไปมา คนละแวกนั้น และพวกข้าราชการในหน่วยราชการทีอยู่ไม่ไกล เช่น
ครูตามโรงเรียน ข้าราชการอำเภอ นักเรียน พนักงานออฟฟิศ และคนทั่วๆไป กินได้ทุกคน

5/21/2554

วิธีทำไส้กรอกอีสาน

การทำไส้กรอกอีสานขาย เพื่อเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมก็สามารถทำกันได้ทุกคน ขอให้ตั้งใจ อย่าท้อ สู้ หลายคนที่ประสบผลสำเร็จ สามารถมีเงินมากกว่า เงินเดือน แถมไม่ต้องรอเงินออกเพราะมีรายได้ให้ใช้วันต่อวัน การทำใส้กรอกอิสานนั้นมีขั้นตอนไม่ยาก สามารถฝึกฝนได้ทุกๆคน หัดทำช่วงแรกอาจจะลองผิดลองถุกอยู่บ้างแต่ต่อไปรับรองจะดีขึ้นเรื่อยๆขอให้พยายาม ขอเป็นกำลังใจสำหรับผู้ตั้งใจจริงทุกๆคน

ไส้กรอกอีสาน
ภาพจาก:http://play.kapook.com/photo/show-104085
ส่วนผสมไส้กรอกอีสาน

สูตรไส้กรอกอีสาน
ส่วนผสมไส้กรอกอีสาน
1.หมูเนื้อแดง 10 กิโลกรัม
2. หนังหมูติดมันพ 2.5 กิโลกรัม
3. กระเทียมสับ 2 กิโลกรัม (เลือกใช้กระเทียมไทยกลีบเล็ก)
4. ข้าวเหนียว 1 ชามแกง
5. ข้าวสุก 2 กก.
6. พริกไทย พอประมาณ
7. เกลือ พอประมาณ
8. ผงชูรส นิดหน่อย
9.ไส้หมู 1 กิโลกรัม

วิธีทำไส้กรอกอีสาน
1.นำไส้หมู ไปล้างทำความสะอาดให้ดี โดยกลับบ้านในออกมา ล้างเอาเมือกออกให้หมด ต้องระวังอย่าให้ไส้หมูขาด
2.นำหมูเนื้อแดง มาบดหยาบๆ ไว้ หนังหมูให้ต้มพอสุก แล้วหั่นเป็นฝอยบางๆ เตรียมไว้
3.นำกระเทียมมาสับให้ละเอียด แต่ไม่ต้องแกะเปลือกออก เพราะจะทำให้หอมมากขึ้น
4.จากนั้นให้นำเนื้อหมู หนังหมู ข้าวสุกที่แช่น้ำจนเม็ดแตกออกจากกัน กระเทียมพริกไทย เกลือ และผงชูรส มานวดรวมกันประมาณ 15-20 นาที แลัวหมักที่ไว้ประมาณ 30-40 นาที เพื่อให้ออกรสเปรี้ยว
5.พอได้ที่ ให้นำส่วนผสม มากรอกใส่ไส้หมู ที่ทำสะอาดไว้แล้ว วิธีการกรอก อาจใช้เครื่องกรอกก็ได้หากคิดจะทำเป็นอาชีพก้ควรลงทุนซื้อเครื่อง ราคาต่อเครื่องประมาณ 2,000 บาท เพราะจะช่วยทุ่นเวลาและทำใส้กรอกอิสานได้คราวละมากๆ ถ้าไม่มีเครื่องกรอกก็อาจใช้ปากขวดพลาสติก ตัดเป็นกรวย แล้วกรอกก็ได้เช่นกัน

เมื่อคุณกรอกเสร็จ อัดให้แน่นเป้นลูกๆ แล้วให้ใช้เชือกเล็กๆ ผูกเป็นระยะ ยาวตามที่ต้องการ แล้วนำไปแขวนตากลมไว้ ให้ไส้หมูแห้งตึง แล้ว
ส่งขาย หรือย่างขายได้เลย

**ข้อควรระวัง
การล้างไส้หมู ถ้าล้างไม่ดีจะทำให้มีกลิ่นจึงควรขยำกับเกลือพร้อมๆ กับขูดเมือกออก และในการใส่
กระเทียม หรือพริกไทย อย่ามากเกินไปนัก

ค่าลงทุนและราคาขาย
ส่วนผสมทั้งหมดที่บอกไว้ จะเสียคาลงทุนประมาณ 700-1,000 บาท ซึ่งจะได้ไส้กรอกอีสาน ประมาณ 13-14 กิโลกรัม ขายได้ กิโลกรัมละ 1๐๐ บาท จะเห็นชัดเลยว่า กำไรครึ่งต่อครึ่ง แต่ถ้าจะทำขายส่ง ในลักษณะนี้ไม่

เครื่องเคียงที่กินกับใส้กรอกอิสานเช่น ผักกาดหอม แตงกวา ขิงสด ขิงดอง และพริกขี้หนู


นอกจากนี้ยังสามารถทำแหนมกระดูกหมูขายควบคู่กันไปด้วยก็ได้

ส่วนผสมแหนมกระดูกหมู
1.กระดูกหมูอ่อน 5 กิโลกรัม
2.กระเทียม 1 กิโลกรัม
3.ข้าวเหนียวแช่น้ำ 1 ชามแกง
4.เกลือ 1 ถุง(ถุงละ 1 บาท)
5.ผงชูรสนิดหน่อย

วิธีทำแหนมกระดูกหมู

1.นำกระเทียมผสมกับข้าวเหนียว เกลือ และผงชูรสไปคลุกกับกระดูกหมู และตากแดดไว้ ประมาณ 1ชั่วโมง โดยใช้พลาสติกปิดพาชนะใส่ เพื่อให้เปรี้ยวเร็วขึ้น
2.นำมาย่างขายได้เลย

5/20/2554

ธุรกิจเบเกอรี่

ธุรกิจเบเกอรี่

ธุรกิจเบเกอรี่นั้นเชื่อว่าเป็นธุรกิจในฝันของใครหลายๆคน การมีร้านเบเกอรี่เล็กเป็นของตัวเอง ทำงานในร้าน ทำขนมอร่อยๆให้คนกิน ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร มีความสุขกับงานที่ทำ แต่การจะเปิดร้านเบเกอรี่นั้นต้องมีใจรักและมีฝีมือ คือต้องมีความรู้เรื่องการทำขนม ปัจจุบันนี้มีสถานเปิดสอนทำขนมมากมายให้เลือกเรียน ฝึกฝน การจะเปิดร้านเบเกอรี่จึงไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อม หลังจากเรียนทำเบเกอรี่จนได้สูตรที่พอใจแล้วเจ้าของกิจการต้องหมั่นฝึกปรือพัฒนาฝีมือตัวเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ครอบคลุมกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีรสนิยมหลากหลาย และไม่ต้องการความซ้ำซาก จำเจ ร้านเบเกอรี่จึงมักมีขนมวางขายหน้าร้านอยู่หลายประเภท นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ประกอบการถึงต้องเรียนรู้การทำเบเกอรี่นานาชนิด เพราะนั่นหมายถึงแต้มต่อในการสร้างรายได้และผลกำไรนั่นเอง

ธุรกิจเบเกอรี่


ภาพจากxn--b3c4bjh8ap9auf5i.th

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีความถนัดในการทำเบเกอรี่ขายเพียงชนิดเดียว อาจเลือกที่จะสร้างความหลากหลาย ด้วยการเพิ่มกิมมิคด้านอื่นๆ เข้าไป เช่น ถ้าทำขนมปัง ก็ทำขายหลายๆ ไส้ เป็นการสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภค

ปัจจุบันมีโรงเรียนเปิดหลักสูตรสอนทำเบเกอรี่เป็นจำนวนมาก แล้วจะเรียนกับสถาบันไหน? หลักการง่ายที่สุดคือ พิจารณาจากประวัติและประสบการณ์ของผู้สอนว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด ตรวจสอบรายการเบเกอรี่ที่ต้องการจะทำขายว่ามีสอนหรือไม่ รวมทั้งอัตราค่าเล่าเรียน

ซึ่งเมื่อทำเป็นแล้ว ก็ยังต้องกลับมาศึกษาและฝึกฝนทำบ่อยๆ แล้วความอร่อยอันเกิดจากความชำนาญก็จะบังเกิด

โดยเฉลี่ยต้นทุนของเบเกอรี่จะตกประมาณ 50-60% เท่ากับมีกำไรประมาณ 40-50%

5/10/2554

ขายหมูสะเต๊ะ

หมูสะเต๊ะเป็นหนึ่งในอาหารที่มีคนนิยมบริโภคมากๆ เพราะหมูสะเต๊ะ มีสีสันและรสชาติอร่อย หาซื้อได้ง่าย นิยมซื้อทีละหลายๆ ไม้ เพราะหมูสะเต๊ะเป็นหมูไม้เล็กๆ ทำพอดีคำ
สำหรับผู้ที่คิดจะทำหมูสะเต๊ะขาย เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเอง ยังสามารถขายขนมปังปิ้ง เพื่อเป็นเครื่องเคียงคู่กับหมูสะเต๊ะได้อีกทางหนึ่งด้วย
การทำหมูสะเต๊ะให้อร่อยนั้น วิธีทำหมูสะเต๊ะไม่ยากอย่างที่หลายคนคิด แต่ละร้านจะมีเคล็ดลับการทำหมูสะเต๊ะ ที่แตกต่างกันออกไป เรื่องรสชาติเป็นสูตรเฉพาะของแต่ละร้าน
ขึ้นอยุ่กับว่าลูกค้าจะชอบร้านไหนมากกว่ากัน หมูสะเต๊ะที่นำเสนอวันนี้ เป็นอีกสูตรหนึ่งที่มีรสอร่อย และแปลกกว่าหมูสะเต๊ะทั่วๆไป นั่นคือ "สะเต๊ะสมุนไพร"

สะเต๊ะสมุนไพร เป็นสะเต๊ะที่มีส่วนผสมของเนื้อสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ตะไคร้ มีสรรพคุณในการช่วยลดความดันโลหิตสูง และแก้ไข้
หัวหอม มีสรรพคุณในการช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด และยังช่วยขยายเส้นเลือดให้กว้างขึ้น เป็นผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้สะดวกยิ่งขึ้น
กระเทียม มีสรรพคุณในการลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด เมื่อนำวัตถุดิบที่มีอยู่มาผสมกับ เนื้อ ก็จะได้ เนี้อสะเต๊ะที่แสนอร่อย และยังสามารถปรุงเป็น สะเต๊ะไก่, กุ้ง,
เนื้อนกกระจอกเทศ และเนื้อสัตว์อี่นๆได้อีกเช่นกัน

แฟรนไชส์ซาด้าสะเต๊ะสมุนไพร
สะเต๊ะสำเร็จรูปแช่แข็ง
สะเต๊ะที่ผ่านการปิ้ง-ย่างจนสุก บรรจุใส่ภาชนะพร้อมซอสต่างๆ และนำไปเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส เป็นขบวนการที่ทำให้ส่วนที่เป็นน้ำในอาหารแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง
อันจะทำให้เชื้อโรคไม่สามารถเจริญเติบโตได้ เพื่อเก็บรักษารสชาติได้นาน สะเต๊ะที่ผ่านกรรมวิธีดังกล่าว สามารถเก็บ ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ได้ถึง1 ปี เวลารับประทาน
เพียงตั้งทิ้งไว้ให้น้ำแข็งละลาย และอุ่นเพียง 2-3 นาที

สะเต๊ะสมุนไพรสำเร็จรูปแช่แข็งในรูปแบบแพ็ค
**ในหนึ่งแพ็คจะประกอบด้วย
- เนื้อ หรือ ไก่ สะเต๊ะ จำนวน 10 ไม้
- น้ำจิ้มสะเต๊ะ จำนวน 1 ห่อ
- น้ำอาจาด จำนวน 1 ห่อ
- น้ำหนักเนี้อสุทธิ 140 กรัม
- ราคาแพ็คละ 49 บาท

สะเต๊ะสมุนไพรสำเร็จรูปแช่แข็งสำหรับร้านอาหาร
- ในหนึ่งจานจะประกอบด้วย
- เนื้อ หรือ ไก่ สะเต๊ะ จำนวน 8-12 ไม้
- น้ำจิ้มสะเต๊ะ จำนวน 1 ถ้วย
- อาจาด จำนวน 1 ถ้วย
- ราคาขึ้นอยู่กับปริมาณการสั่งขื้อ

สะเต๊ะในรูปแบบบุฟเฟ่ต์ งานสังสรรค์ หรืองานเลี้ยงต่างๆ
สำหรับงานเลี้ยง ต่างๆ ทางเรามีบริการส่งถึงที่ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑน สามารถโทรสั่งล่วงหน้าได้อย่างน้อย 1 วัน
ราคาขึ้นอยู่กับปริมาณการสั่งชื้อแฟรนไชส์ ซาด้าสะเต๊ะสมุนไพร มีรูปแบบเป็นบูทจำหน่ายสินค้า โดยมีอุปกรณ์หลักเป็นดังนี้
- บู้ทจำหน่ายสินค้า จำนวน 1 บู้ท
- เตาปิ้งไฟฟ้า หรีอ เตาถ่าน จำนวน 1 เครื่อง หรือ microwave
- เตาปิ้งขนมปัง หรือ หม้ออุ่น จำนวน 1 ชุด
- ตู้กระจก จำนวน 1 ชุด
- ตู้แช่อาหาร (option) จำนวน 1 ขุด
- ป้ายแสดงร้านค้า จำนวน 1 ขุด
- เนื้อ-ไก่ สะเต๊ะ จำนวน 2,000 ไม้
- เบ็ดเตล็ด อาทิถุง ฯลฯ จำนวน 1 ชุด
- ราคา 14,000 - 25,000 บาท

หาข้อมูลสะเต๊ะสมุนไพรเพิ่มเติมได้ที่ ซาด้าสะเต๊ะสมุนไพร
ที่อยู่ หจก. อามิตร ฟู้ด โทรศัพท์ 01-5660885